เทศน์เช้า วันที่ ๒๕ สิงหาคม ๒๕๖๑
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต
ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี
ตั้งใจฟังธรรมะ ตั้งใจฟังธรรม สัจธรรมๆ ทุกคนแสวงหาสัจธรรม เวลาสัจธรรมมันจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าขวนขวายอยู่ ๖ ปีก็แสวงหาสัจธรรมนี่แหละ แต่แสวงหาสัจธรรมสิ่งนั้นมันยังไม่เป็นความจริงขึ้นมา ยังหาสิ่งนั้นไม่ได้ ทำทุกรกิริยา ทำทุกรกิริยาทรมานตนขนาดไหนเพื่อความถูกต้องดีงาม เพื่อความถูกต้องดีงามนะ หาสัจจะหาความจริงในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
เวลาเกิดขึ้นมาในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เห็นไหม สัจธรรมๆ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากราบธรรมๆ กราบธรรมอันนั้น กราบธรรมเพราะธรรมมันเหนือโลกไง เหนือวัฏฏะไง กามภพ รูปภพ อรูปภพ ธรรมนี้เหนือครอบ ๓ โลกธาตุ
ถ้า ๓ โลกธาตุ ๓ โลกธาตุเข้าไปถึงสัจธรรมอันนั้นไม่ได้ แต่สัจธรรมอันนั้นกลับไปอยู่ในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วเราก็แสวงหาสัจธรรมอันนั้น สัจธรรมอันนั้นมันแสวงหาได้ก็ด้วยหัวใจของสัตว์โลก หัวใจของสัตว์โลกเพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าปรารถนามารื้อสัตว์ขนสัตว์
การรื้อสัตว์ขนสัตว์ รื้อให้พ้นจากวัฏสงสาร รื้อจากวัฏฏะวิวัฏฏะไง แต่ผลการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ผลการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ มันเกิดเพราะบุญเพราะกรรม
เราเกิดมา เห็นไหม ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คนที่เกิดร่วมโลกกันมา ไม่เคยเป็นญาติไม่เคยเป็นพี่น้องกันไม่มีเลย เพราะการเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะมันไม่มีต้นไม่มีปลาย มันยาวไกลมากมายมหาศาล ความยาวไกลมากมายมหาศาล เวลาเกิดมาแล้วสร้างบุญกุศลกันขึ้นมา เวลาถ้าทำสิ่งใดที่เป็นบาดแผลเจ็บปวดกัน มันฝังใจๆ กันไป เวรกรรมมันเกิดตรงนี้ พอเวรกรรมมันเกิดตรงนี้ เวรกรรมทำให้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ
เวลาเราเกิดมา เห็นไหม วันนี้วันสารทจีนๆ วันสารทจีนเป็นวันกตัญญูกตเวที เขาเซ่นไหว้ปู่ย่าตายายของเขา เขาเซ่นไหว้ไง เซ่นไหว้เพื่อระลึกถึงบุญถึงคุณไง พอระลึกถึงบุญถึงคุณ นี่ก็เป็นประเพณีวัฒนธรรม แล้วเวลาสารทไทยล่ะ สารทไทยเขาทำอย่างไรกัน สารทไทยๆ ถ้ามันไม่มีพระพุทธศาสนามา เขาก็ถือผีของเขาไง เขาก็เซ่นไหว้เหมือนกัน เวลาเขาเซ่นไหว้เขาก็ไปตามศาลเจ้า ความเชื่อถือผีๆ เพราะศาสนาถือผีมันเป็นศาสนาแรกของโลก เวลาศาสนาแรกของโลกขึ้นมา คนเราไม่มีหลักมีเกณฑ์ขึ้นมาก็เชื่อสิ่งลึกลับมหัศจรรย์ทั้งนั้นน่ะ เวลามีสิ่งใดขึ้นมา กราบภูเขา กราบต้นไม้ต่างๆ แต่เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมา
เวลาปู่ย่าตายายของเราเสียชีวิตไป อย่าเสียใจ อย่าคร่ำครวญ อย่าร้องไห้ ให้ระลึกถึงคุณงามความดีต่อกัน เราทำคุณงามความดีต่อกัน สร้างบุญกุศล ตักบาตร ทำบุญกุศลแล้ว อุทิศส่วนกุศลนี้ให้กัน ใจถึงใจไง
ความรู้สึก เห็นไหม พ่อแม่ไม่รักลูกไม่มีหรอก พ่อแม่ที่ไหนก็รักลูกเต้าหลานเหลนทั้งนั้นน่ะ ไอ้เราก็รักพ่อรักแม่กันทั้งนั้นน่ะ แต่มันเป็นผลของวัฏฏะไง มันเป็นเรื่องของสัจจะความจริง สัจจะความจริง คนเกิดมาเท่าไรมันต้องตายทั้งนั้นน่ะ ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่ชีวิตนี้เกิดมา เกิดมาให้แสวงหา เกิดมาทำคุณงามความดีของเรา ถ้าคุณงามความดีของเรา ประเพณีวัฒนธรรมเขาเซ่นไหว้ด้วยความเคารพกตัญญู เราก็ทำ เราทำของเราเพื่ออยู่กับสังคมไง
แต่ถ้าเรามีสติมีปัญญาของเรา เราทำบุญกุศลของเรา เวลาเราทำบุญกุศล เห็นไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตร พระโมคคัลลานะเข้าฌานสมาบัติ ออกจากฌานสมาบัติมา คนที่เขาแสวงหาของเขา เขาสร้างบุญกุศลของเขา เขาทำบุญกุศลของเขา เขาได้บุญมหาศาลเพราะอะไร เพราะเวลาเข้าฌานสมาบัติก็เข้าไปในหัวใจของครูบาอาจารย์เรานั่นน่ะ เวลาออกจากฌานสมาบัติมา สิ่งนั้นเป็นธรรมๆ ขึ้นมา เขาแสวงหาทำบุญกุศลแล้วอุทิศส่วนกุศลให้แก่ญาติโกโหติกาของเรา
การเซ่นไหว้ก็เป็นการเซ่นไหว้อันหนึ่ง การเซ่นไหว้ก็เป็นประเพณีวัฒนธรรมที่เราระลึกถึงๆๆ แต่ความจริงๆ ผลของวัฏฏะๆ เวลาจิตที่พ้นจากวัฏฏะไปมันครอบ ๓ โลกธาตุ มันยิ่งใหญ่นัก ถ้ามันยิ่งใหญ่นัก ในพระพุทธศาสนา พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ มีรัตนตรัยของเราไง เราทำบุญกุศลอย่างนี้เพื่อญาติโกโหติกาของเรานั่นแหละ แล้วถ้ามันมีสติมีปัญญา มันระลึกได้
เวลาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เวลาเราไปส่งกันที่เชิงตะกอน เวลาเวียนสามรอบ กามภพ รูปภพ อรูปภพ แล้วเอาน้ำมะพร้าวล้างหน้าให้ตื่นเนื้อตื่นตัวขึ้นมา ให้ระลึกถึงคุณงามความดีของเราไง ความดีของเรา เราทำคุณงามความดีของเรา เราอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่มีบุญคุณกับเรา
แต่ถ้าเป็นความจริงๆ ในหัวใจของเรา ถ้าเราทำศีล สมาธิ ปัญญาขึ้นมาในใจของเรา ใครต้องอุทิศให้เรา มันเป็นปัจจัตตัง เป็นสันทิฏฐิโก สิ่งใดที่มันบีบคั้นหัวใจ ชีวิตนี้ทุกข์นักๆๆ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมขึ้นมาน่ะ วิมุตติสุข คนเรานะ ถ้ามันไม่ต้องไปเผชิญกับอะไรข้างหน้า คนเราไม่ต้องไปเกิดอีกแล้ว คนเรา คนติดคุกมันยังหวังจะออกนะ ติดคุกมันกำหนดวันเลยน่ะ ปฏิทินขีดแล้วขีดอีกเลย กำหนดวันออก กำหนดวันที่จะเป็นไปไง
นี่ก็เหมือนกัน ถ้ามันวิมุตติสุขแล้วมันจบสิ้นกระบวนการแล้ว มันไม่ไปอีกแล้ว ถ้าไม่ไป ไม่ต้องไปเผชิญอะไรอีกแล้ว ไม่มีอะไรให้เผชิญอีกแล้ว แล้วไม่เผชิญแล้วได้อะไร มันไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น ไม่มีสิ่งใดเป็นทุกข์เป็นยากขึ้นมา มันจะมีสิ่งใดเป็นภาระล่ะ จิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้ไม่เคยตาย จิตนี้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วถ้ามันไม่ตาย แล้วถ้ามันสิ้นกิเลสไปแล้วมันไปไหนล่ะ ถ้ามันไม่ไปไหน มันก็รู้ในใจของผู้ที่ประพฤติปฏิบัติสิ
ผู้ใดปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม สัจธรรม แต่เวลาประพฤติปฏิบัติกันอยู่นี่ด้วยกิเลสตัณหาความทะยานอยากของเราไง ด้วยวุฒิภาวะของเราอ่อนด้อยไง เราก็เชื่อไปทั่ว ความเชื่อ ศรัทธาความเชื่อเป็นหัวรถจักรดึงให้เราเข้าไปศึกษา นี่ไง ถ้าไม่มีศรัทธาไม่มีความเชื่อ พระพุทธศาสนา ศรัทธาไทยๆ คนเรามีศรัทธามีความเชื่อ ศาสนาพุทธเรามั่นคงมันก็เพราะความเชื่อของเขา นี่ความเชื่อของสัตว์โลกไง แล้วความเชื่อของคนมันลึกตื้นหนาบางแตกต่างกันอย่างไร
ถ้าเราศรัทธาๆ คนที่ศรัทธา ศรัทธาเขาเต็มหัวใจนะ เขาไปไหนเขานั่งนิ่งๆ นะ เขาสังเกตของเขา เขาดูของเขา เขาดูของเขานะ มันเป็นจริงอย่างคำสอนหรือไม่ มันเป็นจริงโดยข้อเท็จจริงหรือไม่ ถ้ามันไม่เป็นความจริงนะ มันขัดแย้งกันน่ะไม่ใช่
ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่มีขัดไม่มีแย้งกันนะ มันจะเริ่มต้นตั้งแต่หยาบ กลาง ละเอียดเท่านั้นแหละหยาบแค่ไหน เริ่มระดับของศรัทธาความเชื่อ แล้วปฏิบัติขึ้นไป ความเชื่อแล้วมันต้องได้เป็นความจริงขึ้นมา ความจริงขึ้นมา ทำความสงบของใจเข้ามา ใจมันสงบระงับเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้ว จิตตภาวนาๆ ถ้าไม่มีจิต ภาวนาไม่ได้ ถ้าไม่มีจิตตภาวนา เอาอะไรภาวนา เราก็ได้ใช้ความคิดสมองคิดกันไปเรื่อย แล้วมันก็ได้อะไร ก็ได้แต่ความคิดไง ว่างเปล่า ความคิด ความคิดที่เขาคิดกันอยู่นี่มันเป็นเงาไง อาการของจิตๆ ไม่ใช่ตัวจิตไง
แต่เวลาทำความสงบของใจมันไปที่จิตของเรา เพราะจิตของเราเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ อวิชชาความไม่รู้ปิดหูปิดตามันถึงได้เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ แล้วมันมีเวรมีกรรมนี่แหละ เวลากรรมดีๆ เกิดเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม แล้วเกิดมาเป็นมนุษย์ มนุษย์ก็แตกต่างกัน
ดูสิ ในหลวงเรา ในหลวงเรานี่สมมุติเทพ เทพโดยสมมุติ สมมุติเทพ นี่มันจริงตามสมมุติ แล้วถ้าเป็นเทวดา เป็นอินทร์ เป็นพรหม เป็นอย่างไร แล้วเวลาเราเกิดมา เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาเป็นมนุษย์ขึ้นมา สูงต่ำแตกต่างกันก็เพราะด้วยอำนาจวาสนา อำนาจวาสนา ดูสิ เวลาคนที่เขาสร้างเนื้อสร้างตัวขึ้นมาจากศูนย์ เป็นเศรษฐีโลก เขามีความสารมารถของเขา ไอ้ของเรานี่นะ ได้รับมรดกมาแล้วยังรักษาไม่ได้เลย เกลี้ยง ใช้เกลี้ยงเลย ไม่มีเหลือเลย นี่วาสนาคนมันไม่เหมือนกัน วาสนาคนมันไม่เหมือนกันเพราะเหตุใด
เพราะหนึ่ง เขามีสติ เขามีปัญญาของเขา เขามีหลักใจของเขา คนมีหลักใจมันได้ฝึกฝนมา พันธุกรรมของจิต เพราะอะไร เพราะเวลาภาวนาเข้าไปแล้วมันจะเข้าไปสู่ตรงนั้นน่ะ ถ้าเข้าไปสู่ตรงนั้นมันจะเข้าไปรู้เข้าไปเห็นของมันน่ะว่ามันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง เป็นไปได้หรือเป็นไปไม่ได้ ถ้าเป็นไปไม่ได้ คนที่ไม่มีอำนาจวาสนาก็ “เป็นไปไม่ได้ๆ” เพราะมันไม่มีอำนาจวาสนาไง
คนที่มีอำนาจวาสนานะ มันจะทุกข์ยากขนาดไหนเขาก็จะต่อสู้ของเขา เขาก็ยังทำของเขา มันจะมีสิ่งใดที่ให้พิสูจน์ เราพิสูจน์ทั้งนั้นน่ะ เราพยายามทำของเรา
ดูเจ้าชายสิทธัตถะสิ ไปศึกษาสำนักหนึ่งๆ จนหมดไส้หมดพุงนะ ๖ ปี ไปสำนักนั้นๆ จนไม่มีใครสอนน่ะ แล้วเวลาคนสอนเขาขึ้นมา สอนก็สอนไม่ได้ นี่ไง เพราะสร้างสมบุญญาธิการมา “เราจะเกิดชาตินี้เป็นชาติสุดท้าย” ถ้าชาติสุดท้ายมันก็ต้องมีมรรคญาณ ต้องมีมรรคมีผลในหัวใจของตน มีการกระทำอันนั้นน่ะ เพราะมีอำนาจวาสนาไง ถ้ามีอำนาจวาสนา
นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเรามีอำนาจวาสนาของเรา เราก็ต้องมีจุดยืนของเรา ไปแล้วนิ่งๆ สังเกตของเรา เราต้องมีสติมีปัญญาของเรา อย่าเชื่อ
เวลาศรัทธาความเชื่อๆ นะ เขาให้เชื่อ ถ้าไม่เชื่อ เราก็ไม่เข้าไปศึกษาใช่ไหม ถ้ามีศรัทธามีความเชื่อ ไม่มีศรัทธาเลยนะ มันจุดเริ่มต้นไม่ได้ แต่เวลามีศรัทธาความเชื่อแล้ว เราปฏิบัติไปแล้ว ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะไม่มีขัดไม่มีแย้งกัน ศีล สมาธิ ปัญญา มรรคหยาบ มรรคละเอียด ละเอียดสุด ละเอียดถึงที่สุด มันเจริญงออกงามขึ้น มันจะส่งเสริม มันส่งกันเป็นทอดๆ ขึ้นไปเลย ถ้ามันเป็นความจริงนะ
แต่พวกเรามันเป็นความจริงไปไม่ได้ เราสร้างฐานของเราไม่ได้ เราปรับพื้นฐานของเราไม่ได้ เราไม่สามารถลงหลักปักฐานในใจของเราได้ เพราะเราหาหัวใจของเราไม่เจอไง ถ้าเราจะลงหลักปักฐานในหัวใจของเรา ทำความสงบของใจเข้ามาๆ จิตตภาวนาๆ
คนเรา เวลาถ้าพูดถึงทางธรรมนะ หัวใจนี้ยิ่งใหญ่มาก แต่เวลาไปพูดกับพวกที่เสียดสี พวกที่เขาดูถูกดูแคลน เขาบอกว่าให้นึกเอานะ นึกให้อิ่ม นึกว่าอยู่สุขสบาย เราอยู่ในวงการปฏิบัติ โธ่! คนที่เห็นต่างนะ เขาดูถูกเขาเหยียดหยาม สู้กูไม่ได้ กูเสวยสุขอยู่นี่ ข้าวปลาอาหารวัตถุเต็มไปหมด เที่ยวฉ้อเที่ยวโกงเขามาแล้วเล่าว่ามีความสุข มันสุขจริงหรือ ถ้ามันเป็นคนที่ซื่อสัตย์ เป็นคนที่มีคุณธรรมนะ หัวใจนี้ยิ่งใหญ่นัก ความรู้สึกนี้ยิ่งใหญ่นัก คนทุกข์คนยากก็เพราะหัวใจนี้
ถ้าคนที่เป็นธรรมๆ คนที่มีความสุข ผู้ที่จิตใจที่ยิ่งใหญ่ ดูหลวงตา คนจนผู้ยิ่งใหญ่ มีบริขาร ๘ ช่วยประเทศชาติได้ ยกชาติได้ พระองค์เดียวสามารถยกชาติได้
แต่เขาก็ไปตีโพยตีพายกันว่าไม่ใช่กิจของสงฆ์ ไม่ใช่หน้าที่ ศาสนามันต้องเป็นเรื่องนามธรรม ศาสนามันต้องเป็นเรื่องคุณธรรม
ใช่ ศาสนาเป็นเรื่องคุณธรรม ศาสนาเข้าสู่หัวใจของสัตว์โลก แต่หัวใจสัตว์โลกที่ได้ทำงานเสร็จสมบูรณ์แล้ว ควรทำประโยชน์กับโลก อันนั้นอีกเรื่องหนึ่งนะ
สมัยพุทธกาล พระอรหันต์ อายุ ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ มารับหน้าที่เป็นพระต่างๆ สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ เป็นพระอรหันต์แล้วจะมีงานอะไรอีก งานในการรื้อถอนกิเลส งานในการชำระล้างกิเลสมันไม่มีอยู่แล้ว ท่านรับหน้าที่แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้านะ รับหน้าที่แทน เป็นพระดูแลพระ เป็นพระที่รักษาของของสงฆ์
ในพระไตรปิฎกมีเยอะแยะเลย ถ้าพระที่ประพฤติปฏิบัติจนทำงานของตนเสร็จสมบูรณ์แล้ว ถ้าจะมาทำเพื่อประโยชน์กับโลก มันจะผิดไปไหน เป็นประโยชน์ด้วย แล้วสะอาดบริสุทธิ์ด้วย แล้วสำเร็จเรียบร้อยเป็นผลงานขึ้นมาด้วย
แต่ถ้าให้พวกเราไปทำนี่ โอ้โฮ! เห็นทองเป็นตันๆ นี่ตาลุกตาวาวแล้ว แหม! มันคิดคำนวณ
ถ้าใจไม่สะอาดบริสุทธิ์ ทำไม่ได้ แล้วไม่ควรทำ แล้วมันไม่มีประโยชน์หรอก แต่เขาเสียดสี เขาทำลายกัน
นี่คนจนผู้ยิ่งใหญ่ๆ คนที่ยิ่งใหญ่ จิตใจที่ยิ่งใหญ่นะ เขามีสิ่งใดมา มันวางไว้กับโลกไง มันของประจำโลก สมบัติสาธารณะ แต่ผู้ที่มีสติมีปัญญานะ เขาจะเอาบุญเอากุศล เอาสัจจะเอาความจริงของตน
ถ้าเอาสัจจะความจริงของตน ฉะนั้น การเสียสละ เสียสละเพื่อหัวใจดวงนี้ให้เข้มแข็งขึ้นมา ถ้าหัวใจเข้มแข็งขึ้นมาแล้วเราพยายามทำความสงบของใจเข้ามา ถ้าใจสงบระงับแล้ว ใจฝึกหัดค้นคว้าของเรา สมถกรรมฐานยกขึ้นสู่วิปัสสนากรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐานคือการรู้แจ้งในหัวใจของตน การรู้แจ้งกับจิตดวงนี้ไง ให้จิตดวงนี้สว่าง สะอาด สงบ แล้วไม่เป็นขี้ข้าของตัณหาความทะยานอยาก ไม่เป็นขี้ข้าของกิเลสที่มันปิดหูปิดตา หมุนไปไง ปิดหูปิดตาให้มืดบอด แล้วก็ลากกันไป แล้วก็ไม่รู้เรื่อง กิเลสจูงจิตบอดไปกับมัน แล้วเราก็เวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไง
นี่ไง เวลาทำความสงบของใจเข้ามาๆ เราทำความสงบของใจเข้ามาเพื่อความสงบระงับเข้ามา เวลาเราฝึกหัด ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปัจจัตตัง สันทิฏฐิโก ไม่มีกำมือในเรา เราเป็นผู้ชี้ทางเท่านั้น พวกเธอต้องเป็นผู้ที่ขวนขวายเอง จิตมันต้องขวนขวายเอง มันต้องฉลาดขึ้นมาเอง ถ้าจิตมันไม่ฉลาดขึ้นมาจะให้ใครจูงล่ะ ถ้าให้ใครจูง ก็กิเลสทั้งนั้นน่ะ เราไว้ใจใครได้ แล้วเวลาคนอื่นเขาจูง จริตนิสัยมันก็ไม่เหมือนกัน มันก็แตกต่างกันใช่ไหม มีครูบาอาจารย์ของเราคอยชี้ทางๆ ชี้ทางแล้วเราก็จะประพฤติปฏิบัติ เราพยายามขุดคุ้ยค้นหาขึ้นมาให้เป็นของเรา ถ้าเป็นของเรา เห็นไหม
จิตใจที่ได้ทำงานของตนเสร็จแล้ว แล้วถ้าจะทำประโยชน์กับโลก เห็นด้วย ควรทำ เพราะอะไร เพราะเราแสวงหาไง จิตใจที่ทำงานเสร็จแล้ว คำว่า “ทำงานเสร็จแล้ว” มันได้ทำของมันไง แต่ทำไม่เสร็จ ทำพะรุงพะรัง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เขามาอ้างกันเยอะมากว่า ธรรมและวินัยเหมือนกลอง เหมือนกลองที่เขาตีๆ กันน่ะ แล้วมันชำรุดเสียหายขึ้นมา เขาก็เอาไม้มาปะๆ
ความคิดของเราก็เรื่องหนึ่ง ปะไปเรื่องหนึ่ง คนนั้นก็มีทิฏฐิอย่างนี้ คนนี้ก็มีความเห็นอย่างนี้ พระองค์นี้ก็ชวนไปทางนั้น ก็มีแต่เอานู่นมาปะ เอานี่มาปะ ก็เลยปะจนไม่เห็นกลองอันเก่าเลย ธรรมและวินัยนี่มันมองข้ามไปเลย ไปเชื่อแต่ครูบาอาจารย์ไง ไปเชื่อสาวกภาษิต ไม่เชื่อพุทธภาษิต พุทธภาษิต สาวกภาษิต ก็แปะเข้าไป ไอ้นู่นก็แปะเข้าไป ไอ้นี่ก็แปะเข้าไป ทุกคนมาอ้างทั้งนั้นน่ะ ถ้าจิตใจมันยังมืดบอดอยู่มันเป็นอย่างนั้น แล้วแปะจนไม่เห็นกลองใบเดิม แปะจนไม่เห็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ทำกัน ชักนำกันไปจนเสียหายไปหมดเลย
แต่ถ้ามันเป็นจริงๆ ขึ้นมา หนึ่ง ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาศึกษาเป็นปริยัติ ศึกษามาแล้วประพฤติปฏิบัติ เวลาปฏิบัติ ความจริงเกิดที่นี่แหละ จริงไม่จริง สติก็เป็นสติ สติมันให้ผลได้จริงๆ ตามธรรมวินัยนั้น สมาธิ สมาธิก็ให้ความสุขจริงๆ ทำให้เป็นความจริงขึ้นมา แล้วเกิดปัญญาขึ้นมามันถอดมันถอน โอ้โฮ! โอ้โฮ! มหัศจรรย์จนไม่กล้าพูดให้ใครฟัง
เวลาหลวงตา ครูบาอาจารย์ท่านทำงานของท่านเสร็จแล้วนะ ท่านบอกว่า ถ้าพูดให้ใครฟังเขาหาว่าเราบ้าแน่ๆ เลย เราบ้าแน่ๆ เลย เราก็เก็บไว้ๆ แต่สุดท้ายแล้วสังคมในพระพุทธศาสนา พระพุทธศาสนาสอน ฝากธรรมไว้กับภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา
เวลาอยู่ร่วมกัน บริษัท ๔ ต่างคนต่างแสวงหา ต่างคนต่างหาทางออก ต่างคนก็ต่างหาครูบาอาจรย์ที่เป็นจริง แล้วถ้าเป็นจริง ธาตุที่มันเข้าด้วยกันมันก็เชื่อฟังกัน มันก็ไปด้วยกัน แล้วเวลาชี้นำๆ ไป ท่านถึงมาทำประโยชน์ๆ ไง ครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงๆ ท่านจะทำประโยชน์กับโลก แต่ประโยชน์กับท่าน ถ้างานสำเร็จแล้ว ประโยชน์กับท่านไม่มีแล้ว จบ
เพราะที่เราทำกันอยู่นี่เราก็สร้างอำนาจวาสนาบารมีของเรานี่แหละ เพราะเราต้องการให้จิตเราเข้มแข็ง ไม่ให้เชื่อใครง่ายๆ ไม่ให้ใครมาชักนำไป ถ้าเวลาเชื่อมันก็เชื่อศีล สมาธิ ปัญญาในใจของตน ถ้ามันปฏิบัติขึ้นมาได้ แต่ที่มันทุกข์มันยากกันอยู่นี่เพราะมันทำขึ้นมาไม่ได้ มันทำขึ้นมาไม่ได้ แล้วเวลากลองแปะ ดูสิ เดี๋ยวนี้เขาพ่นสี แหม! แวววาวเลย ไอ้ของเก่าของเดิม แหม! ครึล้าสมัยไม่ได้เรื่องเลย แต่เดี๋ยวนี้เขากลับมาชีวจิต กลับมาอาหารอินทรีย์ กลับมาขุดของเดิมทั้งนั้นน่ะ
ไอ้ของโลกๆ เวลาหมุนไปแล้วออกนอกลู่นอกทางไปหมด แต่เวลาความจริงๆ ความจริงมันเป็นสิ่งที่มีคุณค่า แต่เราต้องการผลประโยชน์มากตามกิเลสไง ไม่ได้ตามธรรม
ถ้าตามธรรมขึ้นมา ตั้งสติของเรา ไปไหนนะ เราฝึกหัดของเราไว้ ศึกษาไว้ให้สมองเราแพรวพราวเลย แล้วให้สังเกตดู อย่าเชื่อใครทั้งสิ้น อย่าเชื่อ พิสูจน์ก่อน พิสูจน์แล้ว ดูแล้ว มันเป็นจริงหรือไม่เป็นจริง ถ้าเป็นจริงขึ้นมา เราทำต้องได้จริง แล้วได้จริง ลูกศิษย์ลูกหากับครูบาอาจารย์สนทนาธรรมกันเป็นเรื่องปกติ แล้วถ้ามันเป็นจริงขึ้นมามันจะเป็นประโยชน์กับเราไง ไม่เสียเวลา ไม่ให้ใครชักนำไปทางที่ผิด แล้วยังเป็นประโยชน์กับเราขึ้นมา ให้เห็นคุณค่า
พระพุทธศาสนามีคุณค่าจริงๆ แต่เราไปเห็นกันที่สิ่งปลูกสร้าง วัดวาอารามไง ยศถาบรรดาศักดิ์ไง ไม่เห็นคุณค่าในหัวใจของตน ทุกข์ เหตุให้เกิดทุกข์ ทุกข์ดับ วิธีการดับทุกข์ การดับทุกข์ดับโศกในใจของตน ศาสนามีคุณค่าที่นี่ ทำให้บริษัท ๔ มีความสุขความสงบในใจของสัตว์โลก เอวัง